ลูก้า โมดริช กองกลาง ทีมชาติ โครเอเชีย มั่นใจ ทีมตนเองจะไม่สร้างปัญหาให้บราซิลได้แน่นอน พร้อมแย้มว่าอาจจะมีการดวลจุดลูกโทษเกิดขึ้นอีกรอบ
ตาหมากรุก จะลงสนามดวลกับ บราซิล ในศึกฟุตบอลโลก รอบก่อนรองชนะเลิศ
วันศุกร์นี้ โดยทีมไหนชนะ จะเข้าไปเจอ เนเธอร์แลนด์ หรือ อาร์เจนติน่า ในรอบตัดเชือก ทั้งนี้ โมดริช ได้นั่งแถลงข่าว ก่อนเกม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยนักเตะระบุตอนนี้ ทีมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น หลังจากผ่านรอบ 16 ทีมมาได้เป็นที่สำเร็จ
“ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ดวลกับประเทศญี่ปุ่น (เสมอ 1-1 ก่อนชนะจุดลูกโทษ) เราได้พิสูจน์ให้เห็น ถึงความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ” มิดฟิลด์สังกัด เรอัล มาดริด กล่าว
“เกมล่าสุดนี้มอบความมั่นใจให้กับเรา เราสามารถทำได้อีกรอบและเราก็เตรียม ตัวการยิงจุดลูกโทษเอาไว้อีกรอบด้วย”
ยิ่งไปกว่านั้น โมดริช ยังไม่ขอกล่าวถึง อนาคตของตัวเองกับทีมชาติ โดยกองกลางวัย 37 ปีย้ำว่าต้องการมีสมาธิกับฟุตบอลโลกคราวนี้เป็นอันดับแรก
“ผมไม่ทราบว่าตนเองจะเล่นให้ทีมชาติ ไปอีกนานแค่ไหน ผมมี สมาธิเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ในฟุตบอลโลกคราวนี้ ซึ่งจากนั้นเราจะมีเวลามานั่งพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอนาคต”
ประวัติ ลูก้า โมดริช
เกิด และ เติบโตที่เมือง Zadar ประเทศโครเอเชีย ปีค.ศ.1985 ช่วงปี 1991 เกิดสงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย ทำให้โมดริช และครอบครัว ต้องระหกระเหินลี้ไฟสงคราม ไปใช้ชีวิต อยู่ในโรงแรมนานกว่า 7 ปี ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลา แห่งความยากลำบาก ของเขาและครอบครัว เขาเล่าให้ฟังว่า ปู่ของเขา ถูกสังหารโดย กลุ่มกบฏเซิร์บในละแวกใกล้บ้าน และบ้านที่เคยอาศัยอยู่ ก็ถูกไฟของสงครามเผาเป็นเถ้าธุลีไปหมด ถึงแม้เขาจะบอกว่า ไม่ได้ตระหนก ถึงสงครามเท่าไร เพราะเขายังเด็กมาก อีกทั้งชีวิตถูกรายล้อมด้วยเพื่อนฝูง และครอบครัวที่เอาใจใส่ก็ตาม
พ่อของเขา ก็สนับสนุนให้ โมดริชเล่นฟุตบอล อาจเพราะเห็นพรสวรรค์อะไรบางอย่า งในตัวเขา หรือเพียงแค่ส่งเสริมความฝัน ของลูกก็ตาม ช่วงที่เขาหนีจาก พิษไฟสงคราม ไปอาศัยอยู่ในโรงแรม Kolovare โมดริช เตะฟุตบอลกับเพื่อนทุกๆวัน ภายในลานจอดรถของโรงแรม ก็คงคล้ายนักบอลระดับโลกหลายคน ที่สรรค์สร้างทักษะของตัวเองผ่านพื้นปูนขรุขระ โกล์รูหนู และรองเท้าผ้าใบ
โจเซฟ บัลโจ ตกลงให้โมดริชเข้าสู่อะคาเดมีของ NK Zadar และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้มีโอกาสเฉิดฉายในฟุตบอลเยาวชนที่อิตาลี ทีมใหญ่ในซีเรีย อา อย่าง ยูเวนตุส ปาร์มา อินเตอร์ มิลาน เริ่มให้ความสนใจในตัวเขา แต่ก็เป็นดินาโม ซาเกร็บ ทีมใหญ่จากเมืองหลวงที่ได้รับลายเซ็นต์จากเขา และได้ตัวมาร่วมทีมในที่สุด ในแคมป์ฝึกซ้อมของซาเกร็บ โมดริชไม่ได้เป็นเจ้าชายพรสวรรค์สูงเพียงคนเดียว เขาต้องต่อสู้ พิสูจน์ตัวเองท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน และรุ่นซีเนียร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า ไม่นานนัก ในปี 2003 ซาเกร็บตัดสินใจปล่อยโมดริช ไปสั่งสมวิชาในลีคบอสเนียกับ Zrinjski Mostar ภายใต้สัญญายืมตัว ในปี 2005 ซาเกร็บตัดสินใจยื่นสัญญาระยะยาว 10 ปี ให้กับโมดริช และพวกเขาก็ไม่ผิดหวัง โมดริชพาซาเกร็บควบแชมป์ลีค 3 สมัย บอลถ้วยอีก 3 สมัย และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมส่วนตัวอีกหลายครั้งระหว่างลงสนามให้กับดินาโม ซาเกร็บ
ไม่นานนัก เขาจึงได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซนอล แมนฯ ซิตี้ บาร์เซโลนา แต่เป็นท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่ปาดหน้าทุกทีมใหญ่และคว้าแข้งทองคำจากโครเอเชียมาประเดิมสนามได้สำเร็จได้ในปี 2008 โมดริชไม่ทำให้สเปอร์ผิดหวัง เขาพาสเปอร์คว้าพื้นที่หัวตารางไปเล่นฟุตบอลยุโรป และถูกสรรเสิญจากแฟนบอลว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์
สุดท้ายความมหัศจรรย์ของเจ้าหนุ่มใบไม้แห้งจากโครเอเชียก็ไปสะดุดตาสโมสรระดับโลกอย่างราชัน ชุดขาว เรอัล มาดริด และในปี 2012 โมดริชถูกอัญเชิญเข้าสู่พระราชวังเบร์นาเบวด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เขาย้ายจากลอนดอน มาลงหลักปักฐานที่กรุงมาดริด และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่พาราชันชุดขาวคว้าทริปเปิลแชมป์ยุโรปสามสมัยซ้อน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้สำเร็จอีกครั้ง
ลูก้า โมดริช กับ รางวัลเกียรติยศ
เรอัลมาดริด
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 2014,2016,2017
- ยูฟ่าแชมป์เปี้ยน ลีก : 2014,2016,2017,2018,2022
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก: 2014,2016,2017
- ลาลิกา สเปน : 2016-17,2019–20,2021–22
- สแปนิชซูเปอร์คัพ 2017
รางวัลส่วนตัว
- บาลงดอร์: 2018